สารคดีชิ้นหนึ่งของสำนักข่าว BBC ได้ออกมานำเสนอการขายยาแก้ไอที่ผิดกฎหมาย ซึ่งมันมีส่วนผสมของโคเดอินตามตลาดมืดของไนจีเรีย จึงทำให้ทางการไนจีเรียออกมาสั่งห้ามผลิตพร้อมห้ามนำเข้าน้ำเชื่อมซึ่งมีส่วนผสมของโคเดอิน ในปัจจุบันมีหนุ่มสาวชาวไนจีเรียสว่นใหญ่ติดยาเสพติดยาแก้ไอชนิดนี้ โดนทางการประเมินว่าในแต่ละวัน มีประชาชนดื่มยาแก้ไอนี้เป็นจำนวนถึง 3 ล้านขวด ใน 2 รัฐของไนจีเรีย ซึ่งผลร้ายของการบริโภคโคเดอินมากเกินไป จะทำให้อวัยวะล้มเหลว รวมทั้งเป็นโรคจิตเภทได้ นอกจากนี้ยังมีครูไนจีเรียจำนวนนับหมื่น สอบตกในแบบทดสอบของเด็ก 6 ขวบ “ซุปเอกูซี” อาหารประจำชาติไนจีเรีย ทาง ซานิ อูไซนิ เจ้าหน้าที่ศูนย์บำบัด ออกมาชี้แจงว่า “เรื่องนี้นับเป็นปัญหาอันร้ายแรง มันทำร้ายทุกคน อีกทั้งยังแพร่จากบ้านหนึ่งไปยังอีกบ้านหนึ่ง ถ้าคุณคิดว่าคุณปลอดภัย คุณคิดผิดเพราะจริงๆ แล้วไม่มีใครปลอดภัย” มีเด็กสาววัย 16 ปีคนหนึ่ง เธอรับรู้ถึงผลร้ายของยาแก้ไอชนิดนี้ เธอกล่าวว่า ” ฉันแนะนำให้ผู้คนอย่าใช้มัน ถ้าเขายังไม่เคยลองใช้ แต่ถ้าพวกเขาได้ลองมันแล้ว มันจะทำลายชีวิตของพวกเขาอย่างแน่นอน” โดยสารคดีเรื่องนี้ เป็นตัวกระตุ้นที่ดีให้แก่ไนจีเรีย นับตั้งแต่สารคดีออกอากาศ ทางรัฐบาลได้ประกาศห้ามนำเข้าและผลิตน้ำเชื่อมที่มีส่วนผสมโคเดอิน อีกทั้งบริษัทยา 4 แห่งถูกบุกจับกุม มีการปราบปรามอย่างจริงจัง ในจำนวนนี้ 3 แห่งถูกปิดไปแล้ว หากแต่การจัดการกับการโคเดอิน

รัฐบาลแห่งประเทศคองโกได้ทำการอนุมัติ ให้มีการขุดเจาะเพื่อหาบ่อน้ำมัน ในอุทยานแห่งชาติของประเทศทั้ง 2 แห่ง ได้แก่ วิรุงกา และ ชาลองกา ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทั้ง 2 แห่ง อีกทั้งยังเป็นบ้านของสัตว์ป่าซึ่งใกล้สูญพันธ์หลายชนิด ทำให้นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมออกมาคัดค้านการตัดสินใจในครั้งนี้ พร้อมให้เหตุผลว่า มันจะส่งผลตามมาอย่างร้ายกาจ สัตว์ป่าทั้งหลายจะเสี่ยงต่อการสูญพันธ์มากยิ่งขึ้น อีกทั้งมีผลต่อการเกิดภาวะโรคร้อนก็จะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นกว่าเดิม ในปี 2013 องค์กรอนุรักษ์สัตว์ป่า เคยออกมากล่าวว่า การอนุญาตให้มีการขุดเจาะน้ำมันที่ วิรุงกา เป็นความคิดซึ่งผิดพลาดอย่างร้ายแรง เนื่องจากวิรุงกา เป็นบ้านของกอริลลาชนิดใกล้สูญพันธ์ รวมทั้งสัตว์อื่นๆ มากกว่า 3,000 ชนิด อย่างไรก็ตามหลังจากการถูกคัดค้านอย่างรุนแรง รัฐบาลคองโกก็ออกมากล่าวว่า รัฐบาลมีสิทธิ์จะเปิดสัมปทานให้ขุดเจาะที่ไหนก็ได้ในประเทศ พร้อมทั้งยืนยันว่าจะปกป้องสัตว์ป่าและพืชพรรณหายากด้วย โดยอุทยานแห่งชาติซาลองกา เป็นอาณาเขตป่าฝนขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากป่าอันสุดลึกลับอเมซอน เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าหลายชนิดใกล้สูญพันธุ์ เช่น ลิงโบโนโบ, ช้างป่า, ชิมแปนซีแคระ, นกยูงคองโก เป็นต้น ทางด้านอุทยานแห่งชาติวิรุงกา ได้รับการเชิดชูว่าเต็มไปด้วยความหลากหลายของสัตว์ป่ารวมทั้งพืชมากที่สุดในทวีปแอฟริกา อีกทั้งยังเป็นอุทยานแห่งชาติเก่าแก่ที่สุดในทวีปแอฟริกาด้วย เป็นแหล่งอาศัยของกอริลลาภูเขาซึ่งมีความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์เป็นอย่างยิ่ง แต่ทางรัฐบาลคองโกกลับเปิดพื้นที่ 1 ใน 5